วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ตอนที่ 2

สิบนาทีของนาริน ก็คือยี่สิบห้านาทีของนิรชานั่นล่ะ..

หลังจากถูกเพื่อนรักทั้งลากทั้งจูง ทั้งผลักทั้ังดันให้จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่นานนัก หล่อนก็มานั่งหน้าตูมอยู่บนรถเพื่อน

"นี่จะพาชั้นไปไหนเนี่ย ชั้นง่วง อยากกลับไปนอน ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นอ่ะ"

"อย่ามาเยอะ.." นารินหัวเราะ ขณะขับรถลัดเลาะออกจากซอยแคบที่อพาร์ทเม้นท์ของหล่อนตั้งอยู่ออกถนนใหญ่ "..แกนอนมาตั้งกี่ชั่วโมงแล้ว ดูสิ นอนมากจนตาบวมตุ่ยขนาดนี้ จะเอาแรงที่ไหนไปง่วงอีก"

นิรชากระถดตัวลงต่ำอยู่บนที่นั่งข้างคนขับนั่นเอง แสงแดดภายนอกมันแยงตาซะจนหล่อนอยากพลิกลูกกะตากลับไปอีกด้าน

"คืองี้....เพื่อนชั้นน่ะเค้าเพิ่งกลับจากลาวมา แล้วก็เพิ่งจะมาเปิดร้านกาแฟอยู่แถวนี้เอง พรุ่งนี้เปิดวันแรกวันนี้เจ้าของร้านเค้าก็เลยจะเลี้ยงฉลองเปิดร้านกันนิดหน่อยในหมู่เพื่อนฝูง มันนิสัยดีอยู่ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับชั้นตอนสมัยมัธยมแต่ครอบครัวย้ายไปอยู่ทางใต้ซะนาน เดี๋ยวชั้นจะพาแกไปรู้จักมันละกัน อีกหน่อยเวลาชั้นไม่อยู่จะได้คบหาสมาคมกันได้ บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน"

"ชั้นไม่อยู่ในอารมณ์อยากมีเพื่อนเพิ่ม" นิรชาอุบอิบ

"เอ๊ะยัยนี่..." นารินหัวเราะ ".. เพื่อนชั้นคนนี้น่ะ มันเป็นคนดีน่าคบน่าเว้ย ถ้าแกได้รู้จักมันแกจะชอบ"

ไม่เห็นจะอยากรู้จัก นิรชาถอนหายใจแรงๆ  "ฮิตกันจังนะ ไอ้ร้านกาแฟเนี่ย อยู่บ้านก็ชงกินเองได้ กาแฟทรีอินวันมีตั้งเยอะแยะถมถืดไป...บางเจ้าขายแก้วละแปดสิบเก้าสิบบาท ยังสู้สูตรแป๊ะทงหน้าปากซอยแถวบ้านชั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ" นิรชาเบ้ปาก จริง ๆ หล่อนก็พูดถูก เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ก็มีแต่ร้านกาแฟหลากหลายแนวแทรกซึมอยู่ถ้วนทั่วทุกหัวระแหง ทำยังกะว่าชีวิตคนเราสมัยนี้ต้องขับเคลื่อนกันด้วยคาเฟอีนยังไงยังงั้น

"ใช่ซี๊ ใครจะปากตะเข้ ลิ้นตะเข้เหมือนหล่อนล่ะยะ อะไรๆ ก็แหล่กได้หมด เลิกประชดตัวเองซะทีเหอะว่ะนิชา ดูตัวเองในกระจกมั่งว่าตอนนี้อืดไปถึงไหนละ"

ร้านกาแฟที่นารินขับรถเข้ามาจอดนั้น ด้านหน้าเป็นเพียงหนึ่งในห้องแถวหลายคูหาที่ดูเหมือนจะเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ และหากมันเป็นเพียงห้องแถวเล็ก ๆ ที่มีการตกแต่งร้านแนว ๆ ดาษดื่นตามสมัยนิยมแบบร้านกาแฟทั่ว ๆ ไป นิรชาก็คงจะไม่ประหลาดใจหรอก แต่ภาพที่นิรชาเห็นเมื่อลงจากรถ ก็ทำเอาหล่อนถึงกับอึ้ง

"นี่ร้านกาแฟแน่เหรอ.." นิรชาหันไปถามนารินซึ่งกำลังกดปุ่มรีโมทล็อกรถ

"ก็เออสิ ทำไม..มันดูหน้าตาไม่เหมือนร้านกาแฟรึไง.." นารินหัวเราะ

นิรชานึกหาคำมาตอบไม่ถูก..ใช่..หล่อนได้กลิ่นอายของร้านกาแฟมาจากร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็จริง แต่การตกแต่งหน้าร้านและบริเวณทางเข้านี่สิ ที่ทำเอาหล่อนถึงกับอึ้ง

บริเวณด้านหน้าของร้านกาแฟห้องเดียวนั้นถูกกรุด้วยหินกาบที่มีลักษณะลักษณะดิบ ๆ สดชื่นด้วยเถาไม้เลื้อยดอกสีเหลืองซึ่งหล่อนก็ไม่รู้ว่ามันเป็นไม้เลื้อยพันธุ์ไหนจนเกือบเต็มผนัง คงมีแต่งช่องหน้าต่างกระจกบานโตใสแหน็วที่เผยให้เห็นบรรยากาศอลวลวุ่นวายกับประตูทางเข้าเล็กๆ สีน้ำเงินนั่นเท่านั้นกระมัง ที่บ่งบอกถึงกิจกรรมรื่นเริงที่มีอยู่

"ฮัลโหล..หวัดดีจ้าาาา..." นารินผลักบานประตูสีน้ำเงินเข้าไปภายในพร้อมๆ กับนิรชา พลางตะโกนเสียงดังทักทายเพื่อนฝูงเกือบ 20 คนที่ทั้งนั่งทั้งยืนพูดคุยพร้อมลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเต็มที่ ก่อนที่นาทีถัดมา เพื่อนฝูงจะตะโกนทักทายตอบ

"มาช้าเชียวแก ไหนว่าบ้านอยู่ใกล้"

"ไหนล่ะเจ้าภาพ" นารินร้องถาม

"โน่น ด้านในโน่น มือเป็นระวิง ฮ่าฮ่าฮ่า ทั้งเค้กทั้งกาแฟออกไม่ทันเพื่อนชิมละ"

นารินเอื้อมมือมาคว้าแขนนิรชาที่เดินอย่างอ้อยสร้อยอยู่เบื้องหลัง แล้วดึงให้เซหลุนๆ ตามเข้าไปด้านใน เอาตามตรงนะ ในบรรดาผู้คนที่ยืนสาดเสียงหัวเราะเข้าหากันอย่างคุ้นเคยทั้งหมดนี่ นิรชาไม่รู้จักใครสักคน อาจจะเป็นเพราะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของนารินทั้งหมดกระมัง ไม่ใช่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอย่างนิรชา

"ฮัลโหลวววว คองเกรตุเลชั่นจ้าเจ้าของร้านสุดหล่อ"

แผงหลังของผู้ชายตัวสูงที่สวมเสื้อขาวที่สาละวนอยู่หลังเคาเตอร์นั่นหันมาแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงนาริน นิรชาพยายามเก็บอาการเบื่อหน่ายเอาไว้ข้างในอย่างเต็มที่ นี่หล่อนมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ยยยย....

"ขอบใจจ้า" ทันใดที่เจ้าของร้านหนุ่มหันหน้ามาจากหลังเคาเตอร์นั่น ก็เหมือนมีใครสาดไฟสปอร์ตไลท์ 100 แรงเทียนใส่นิรชา เฮ้ย...เอาดีๆ นี่เจ้าของร้านกาแฟหรือนายแบบที่เพิ่งโขกออกมาจากแมกกาซีน !!

"อื้อหือ เพื่อนชั้น ไม่เจอกันนานยังแซ่บเหมือนเดิมเลยนะยะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า" นารินปล่อยแขนนิรชาก่อนจะกระโดดเข้ากอดชายหนุ่มด้วยความคิดถึง "นี่ชั้นนึกว่า ชาตินี้จะไม่ได้เจอหล่อนละ ที่สุดก็ย้ายก้นกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเราซะที"

หล่อน...นิรชาเหลือบมองเพื่อนตาค้าง

หล่อนนนนน...

หล่อนนนนนนนนนนนนน....

โว้ยยย...หมายถึง อีตานี่ไม่เป็น ตุ๊ด เกย์ กระเทย ก็อีแอบใช่มั้ยเนี่ย...มิน่า ออร่ากระจายซะขนาดนี้

"ก็อย่างที่เขาว่ากันไว้ไง ว่าไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านหรอก" ชายหนุ่มหันมาสบตานิรชาแว่บนึง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสาวอย่างสงสัย

"เออ ลืมแนะนำไป นี่เพื่อนเราเอง ชื่อนิรชา เรียกนิชาก็ได้นะ เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ พอดีวันนี้อยากพามาแนะนำให้รู้จักด้วยเพราะคิดว่าเพื่อนดีๆ ก็ควรที่จะรู้จักกันไว้ นิชา นี่คิมนะ คณกร เป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยม ย้ายลงใต้ไปตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย แล้วก็ไปเรียนต่อลาว ทำธุรกิจที่ลาวซะหลายปี เพิ่งจะย้ายกลับมาที่นี่เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง"

"ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ" ชายหนุ่มที่น่าจะไม่ใช่หนุ่มส่งยิ้มจึ้กนึงมาให้...จึ้กนึง..จริงๆ ก่อนจะหันไปคุยกับนารินต่อ "แล้วก็คงต้องยินดีกับว่าที่เจ้าสาวคนสวยด้วย....ทำไมหาเจ้าบ่าวไกลจังแก พอชั้นย้ายกลับมาก็จะย้ายหนีชั้นไปอยู่นอกแทนซะงั้น"

นิรชายิ้มค้างไปสองวิ ก่อนจะรู้ตัวว่าไอ้ที่ยิ้มตะกี้น่ะ ยิ้มให้กับลมกับแล้งแท้ๆ

"ช่วยไม่ได้แก บุพเพมันอาละวาดอ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ย้ายไปดูลาดเลาก่อนละกัน อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับบ้านเรา พ่อกับแม่สบายดีเหรอ แล้วนี่ไม่ย้ายขึ้นมาอยู่นี่ด้วยกันเหรอ"

"สบายดีทั้งคู่ล่ะ ชวนแล้วว่าให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่มั้ย แต่ไม่ยอมมา คนแก่ติดที่น่ะ"

"แล้วธุรกิจที่ลาวของแกล่ะ ยังโอเค.อยู่มั้ย ย้ายมานี่ใครดูให้ล่ะ"

"ก็มีลูกน้องคอยรันงานอยู่ แต่ชั้นก็คงต้องกลับไปดูเดือนละครั้งสองครั้งถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วน"

"เออดีแก ใช้เงินทำงานก็ดีจะได้ไม่ต้องติดหนึบอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แล้วนี่นึกยังไงถึงเปิดร้านกาแฟห๊ะ ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามีฝีมือทางทำขนมชงกาแฟอะไรนี่ด้วย"

"ข้างบนเป็นสตูดิโอถ่ายภาพน่ะ ข้างล่างนี่จะปล่อยไว้เปล่าๆ ก็ใช่ที่ก็เลยเปิดไว้นั่งดิวงานมั่ง รับแขกมั่ง เดี๋ยวลองชิมเค้กกับกาแฟดูนะ ว่ารสชาดใช้ได้มะ สั่งที่เด็กหน้าเคาเตอร์ได้เลย"

"จัดมา ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นแกตามสบายก่อนเหอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน ชั้นขอไปสั่งกาแฟมาชิมก่อน"

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ ให้ ก่อนจะหันกลับไปสะละวนกับบรรดาเครื่องปรุงต่างๆ หลังเคาเตอร์ต่อ

"บอกแล้วว่าห้องเดียวน่ะแคบเกินไป ให้เช่าสักสองห้องก็ไม่ฟัง ดูสิ เพื่อนมาอัดกันแค่ 20 คนก็แน่นละ ป่ะ...ไปสั่งกาแฟแล้วหาที่นั่งกันเหอะนิชา ตรงโน้นมีเก้าอี้"

...............

อ่านต่อตอนที่ 3


















วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 1

.....

.....................

............................................

มันควรเป็นวันที่เหมาะสำหรับการนอนที่สุด

บรรยากาศที่เย็นเนิบ ๆ บวกกับเสียงแอร์ตัวแม่ที่น่าจะผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาพร้อม ๆ กับเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่หล่อนเช่าอยู่มาร่วมสามปีึนั้นส่งเสียงครางหึ่ง ๆ เหมือนเป็นเพลงกล่อมเด็กเวอร์ชั่น ด๊อท ด๊อท แอนด์ริทึ่ม ยังไงยังงั้น

เสียงนั้นดังลอดผ้าห่มนวมผืมบางที่ห่อได้แต่เฉพาะแหนมท่อนบนยกเว้นขาท่อนล่างอันอวบอ้วนเปลือยเปล่า เข้าไปก่อกวนอยู่ในโสตประสาทของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งนอนกองอยู่ท่ามกลางบรรดากองวัสดุเหลือกินหลากหลายสปีชี่ ไม่่ว่าจะเป็น กระดาษห่อช็อกโกแลตสารพัดชนิดที่ประโคมซื้อหมดไปร่วมสามร้อยเมื่อวานนี้ ซองมันฝรั่งทอดที่เหลือเศษซากก้นถุงเล็กน้อย ขวดน้ำอัดลมรสซ่าที่ขาดตลาดไปนานโขในช่วงน้ำท่วมใหญ่ รวมไปถึง..รวมไปถึง.....

"กริ๊งงงง..กริ๊งงงง...กริ๊.....งงงงงง"

โอ้ยยย...นิรชาขมวดคิ้ว เมื่อเสียงโทรศัพย์มือถือที่อุตส่าห์ตั้งไว้เบาสุดแทรกขึ้นมาท่ามกลางจังหวะบรรเลงของเครื่องปรับอากาศตัวแม่ ภาวนาให้มีใครบางคนโทร.ผิด หรือถอดใจวางสายไปเองเหมือนทุกครั้งที่มันดัง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะไอ้เจ้าโทรศัพย์เจ้ากรรม ก็ยังคงส่งเสียงกรีดร้องเหมือนเสียจริต ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่สี่ และห้า และหก....

"อือ..โหล..."

"ยัยนิ....นี่แกอย่าบอกนะว่าเพิ่งจะตื่น นี่มันจะเที่ยงอยู่แล้วนะยะ" เป็นดังคาด เพราะเสียงที่ลอดมาจากปลายสายคือหนึ่งในไม่กี่คนที่หล่อนคิด

"อือ...."

"ยังจะมาอืออีก ลุกเดี๋ยวนี้เลยแก  อีกยี่สิบนาทีชั้นจะไปรับ"

"รับไปไหนอ่ะ ชั้นไม่ไปนะ" หญิงสาวงัวเงีย ๆ ตอบ..ใครจะไปไหนกับใครก็ช่างเถอะ โลกจะแตก ฟ้าจะถล่มหรือดินจะทลายหล่อนก็จะไม่ขยับตัวไปจากตำแหน่งที่จีพีเอสปักหมุดไว้ตรงนี้ทั้งนั้น "..ไม่ต้องมารับชั้นนะ"

"ไม่ได้ วันนี้เป็นตายยังไงแกก็ต้องไปกับชั้นล่ะ"

"ไม่ไปได้มั้ยอ่ะ ชั้นง่วงอยากนอนทั้งวันเลย ขอร้องงงง.."

"แกจะใช้เวลานอนเปลือง กินเปลือง อีกกี่เดือนห๊ะ หมดเวลาแล้วย่ะ..ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ย้ายก้นอ้วนๆ ของแกเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวซะ ชั้นไม่มีเวลาไปนั่งรอแกแต่งตัวนานนักหรอกนะยะ เดี๋ยวไปไม่ทันนัดน่ะ"

"นัดกับใคร นัดกับแกก็ไปคนเดียวสิ จะลากชั้นไปด้วยทำไมอ่ะ"

"เถอะน่า ไปกับชั้นหน่อยเถอะแก...." อีกฝ่ายกล่อม " ..เพื่อนชั้นน่ะเค้ามีงานเลี้ยงเล็ก ๆ เปิดร้านกาแฟใหม่ อยู่แถว ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลบ้านแกนั่นแหละ ชั้นอยากให้แกรู้จักเค้าไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ ..อีกไม่กี่วันชั้นก็จะไม่อยู่เมืองไทยแล้วนะ ขืนทิ้งแกจมอยู่กับไอ้ความทุกข์แบบเนี้ย แกจะแกล้งให้ชีวิตแต่งงานชั้นห่อเหี่ยวตามไปด้วยใช่มะ"

นิรชาถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบนึกขึ้นได้..จริงสินะ อีกแค่ไม่ถึงสองเดือน เพื่อนรักก็จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับว่าที่คุณสามีซึ่งเป็นฝรั่งตาน้ำข้าวแล้ว แถมยังต้องย้ายนิวาสถานไปอยู่ต่างประเทศกับครอบครัวอีกด้วย  ทิ้งไว้แต่นิรชาซึ่งแทบจะไร้ญาติขาดมิตรในเมืองหลวงนี่แหละ

"ไม่อยากไปเลย..." หล่อนยังแอบประท้วงเล็ก ๆ แล้วก็ต้องรีบเอาโทรศัพย์ออกจากหู  เมื่ออีกฝ่ายปรี๊ดสวนมาว่าเหลือเวลาให้เตรียมตัวแค่สิบนาทีเท่านั้นนะ ก่อนทางนั้นจะตัดสายทิ้งไปดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น

..แก้วหูแทบแตกแน่ะ..เฮ้อ..

หญิงสาวขมวดคิ้ว หายใจแรง ๆ เพื่อรวบรวมกำลังใจอีกหน่อย ตลบผ้าห่มออกจากตัว ก่อนพลิกแหนมอุดมไขมันจากท่านอนคว่ำมาเป็นนอนหงาย กวาดสายตามองเพดานห้องซึ่งเริ่มจะอุดมหยากไย่แล้วก็ต้องนิ่งสนิทไปอีกอึดใจ..นี่หล่อนละเลยไม่ได้เก็บกวาดห้องหับนานเท่าไหร่แล้วน้อ...แล้วที่สุดก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็นเป็นที่สุด

หัวฟู หัวฟู หัวฟู..สภาพไม่ต่างอะไรกับสิงโตที่เพิ่งจะกรำศึกมาหมาด ๆ

เฮ้อ....

ไม่เห็นจะอยากไปไหนสักนิด โลกนี้นี่มันเป็นยังไงกันน๊า ถึงได้จ้ำจี้จำไชกับชีวิตของหล่อนนัก

ชั่วโมงนี้นิรชาอยากเป็นดักแด้..อยากเป็นหนอนตัวเล็กที่มีปลอกปกป้องตัวเองไว้สักหลาย ๆ เดือนหน่อย หล่อนเฝ้ารอคอย..รอคอยให้ความรู้สึกซึมเศร้าที่เกาะกินอยู่ในใจนั้นเจือจางลงและงอกปีกออกมาเป็นผีเสื้อที่จะบินหนีออกไปสู่โลกกว้าง

แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เพราะยิ่งเก็บตัวไม่ยอมออกไปไหน ตัวหล่อนก็นับวันจะยิ่งขยายออกข้างจนแม้จะมีปีกสักสามคู่ก็คงบินไม่ขึ้นซะงั้น

นิรชาเหลือบมองเงาตัวเองในกระจกบานยาวที่ตั้งพิงไว้ข้างห้อง..หล่อนแทบไม่รู้ว่าคนที่มองตอบกลับมานั่นคือใคร เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่ผู้หญิงผมยาวกระเซอะกระเซิง ตัวอวบอ้วน ที่มีแววตาแสนเศร้าแถมหมู่นี้สิวที่่ไม่สาวก็เริ่มผุดขึ้นผุดลงแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ซะงั้น

น่าเกลียดพิลึก..นิรชาคอตก นอกจากถูกแฟนทิ้งแล้วยังกลายสภาพเป็นยายหมูขึ้นอืดอุดมสิวอีก ชีวิตมันจะมีอะไรรันทดไปกว่านี้มั้ยล่ะนี่..

นึกถึงสภาพตัวเองก่อนหน้าที่จะมาจบเห่ด้วยอาการของคนหมดแรงใจแบบนี้แล้ว นิรชาก็ให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาอีก อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ ยังจะมีหน้าอกหักรักคุดอวดคนอื่นอีกหรือ

6 ปีที่ผ่านมาเหมือนหล่อนใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่า

"ชั้นมันโง่.." นึกถึงตัวเองเมื่อสองเดือนก่อนแล้วนิรชาก็ยิ่งอดรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่าลงไปทุกทีไม่ได้

"แกน่ะไม่ได้โง่หรอก แต่นายนั่นน่ะมันงี่ แกเข้าใจมะ.." ยัยนาริน ลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าหล่อนที่เอาแต่โทษตัวเองทั้งคราบน้ำตาในวันที่เรื่องทุกอย่างมันฟ้องตัวของมันเองอย่างปิดไม่มิด "..ถ้ามันไม่งี่ มันไม่ไปทำผู้หญิงอื่นท้องจนต้องยอมเปิดปากขอเลิกกับแกหรอก รู้ไว้ด้วย"

"เป็นเพราะชั้นไม่ยอมมีอะไรกับเ้ค้าใช่มั้ยวะ" นิรชาช้อนดวงตาฉ่ำน้ำขึ้นมองเพื่อน "เค้าถึงไปมีคนอื่น"

"เออ..จะว่างั้นก็ได้ แต่เคสแบบเนี้ยะ ชั้นว่าหมอนั่นอ่ะ ใกล้ใครก็เขมือบคนนั้นมากกว่าว่ะ คนเราอ่ะนะ ถ้ารักกันจริง เรื่องเซ็กส์น่ะมันรอได้ จะรีบร้อนมีกันไปไหน พรุ่งนี้โลกจะแตกรึไงห๊ะ"

นิรชาสะอื้น..

"แล้วนี่แกจะเอายังไงอ่ะ..งานการไม่ไปทำตั้งหลายวันละ ส่งใบลงใบลาบ้างรึเปล่า"

นิรชาสั่นหน้าพรืด ขี้มูกตันจมูกซะจนต้องคว้ากล่องกระดาษทิชชู่มากอดอีก "..ชั้นจะลาออก"

"หา..ลาออก !!!" นารินร้องซะเสียงดังคับห้อง "จะบ้าเหรอแก..ลาออกแล้วแกจะทำไรกิน นี่อายุอานามก็ไม่ใช่น้ัอย ๆ กันแล้วนะยะ สามสิบสามสามสิบสี่กันเข้าไปแล้ว ยังจะมีหน้าลาออกอีกเหรอ ลาออกตอนนี้จะไปทำอะไรกินยะ"

"ชั้นจะกลับบ้านนอก..." นิรชาคิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ หล่อนอาจจะลงท้ายด้วยการไปรับช่วงร้านขายของชำเล็ก ๆ ในหมู่บ้านที่แม่เป็นเจ้าของอยู่ก็ได้ "....ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไอ้เมืองหลวงเฮงซวยนี่"....พรืด...แล้วหล่อนก็ลงท้ายด้วยการสั่งน้ำมูกอีกรอบ ไอ้ทิชชู่บ้านี่ก็เหมือนกัน จะยุ่ยอะไรนักหนา..แพงก็แพง ฮืออ..

"โธ่เอ๊ย..แก.." นารินโคลงหัวอย่างเห็นใจระคนสิ้นหวังกับสภาพของคนที่อยู่ตรงหน้า "..เอาเหอะ แล้วค่อยว่ากัน ออกก็ออก..แต่ไอ้เรื่องกลับบ้านนอกนั่น คิดดูอีกทีละกัน ถ้ายังเหนื่อยอยู่ก็พักก่อน ชั้นว่าคนที่ไม่ฟุ่มเฟือยอย่างแกน่าจะอยู่ได้อีกสักพักใหญ่ ๆ เลยแหละ"

นิรชากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง..จริงสินะ ตลอดเกือบสิบห้าปีที่ผ่านมานี่ หล่อนทำแต่งาน งาน แล้วก็งาน น้อยครั้งมากที่จะเอาเงินซื้อหาความสุขให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม หรือแม้แต่การออกเดินทางท่องเที่ยว ตามความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ เมื่อไหร่กันนะ ที่ตัวตนของเด็กหญิงแก้มยุ้ยเมื่อวันวานหายไป กลายเป็นผู้ใหญ่พุง(เกือบ)พลุ้ยหน้าเหี่ยวสิวเขลอะเพราะถูกแฟนทิ้งแบบนี้

"แล้วก็เลิกซะที ไอ้เรื่องโทษตัวเองว่าเป็นคนผิดนี่..ท่องไว้ว่าแกน่ะดีเกินไปกว่าจะไปตกหลุมร่องปล่องชิ้นกับไอ้ผู้ชายสั่ว ๆ นั่น เข้าใจเปล่า.."

นิรชาห่อไหล่ที่ตกลู่ลงไปอีก..คำสั่งของเพื่อนเหมือนจะกลับมาดังก้องอยู่ในหู ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..จริง ๆ แล้วยอมรับว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้หล่อนก็ดีขึ้นมากนะ จากที่เคยร้องไห้ติดต่อกันเป็นวัน ๆ ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตัวเองผิดตรงไหน ก็เหลือแค่ความซังกะตาย เหี่ยวเหงา และประทังชีวิตอยู่กับคลังอาหารหวานคาวที่อัดกันเข้ามาทดแทนความว่างเปล่าในใจนั่น

แต่ดูเหมือนความว่างเปล่าที่ล้อมกรอบด้วยความเศร้าของหล่อนมันจะเป็นโพรงที่ลึกจนเกินไป เพราะแม้ว่าหล่อนจะถมลงไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนมันจะไม่เคยเต็มตื้นขึ้นมารเลยแม้แต่น้อย

"ปิ๊งป่อง..." มัวแต่นั่งซึมกระทือคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเอง ยังไม่ทันได้ขยับตัวลุกไปไหน จู่ ๆ เสียงยัยนารินก็ดังขึ้นหน้าประตูซะงั้น "..เปิดประตูซะดี ๆ นังหนู ไหนดูสิว่าแต่งตัวสวยพร้อมออกจากถ้ำรึยัง"

นิรชายกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ รู้ตัวว่าเดี๋ยวหล่อนต้องโดนบ่นแน่ เรื่องที่ยังไม่ยอมแม้แต่จะลุกไปอาบน้ำล้างหน้า แล้วก็จริงดังคาด..

"อะไรเนี่ยยยยยยยย...." นารินทำหน้าตูมส่งเสียงจิ๊จ๊ะทันทีที่เห็นสภาพหัวฟูฟ่องของนิรชา "..นี่แกยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าอีกเหรอ"

"อือ..."

"ไม่ไหวเลยแก นี่ชั้นอุตส่าห์รีบบึ่งมาทำซากอะไรเนี่ย แล้วนี่อะไรเนี่ย..." นารินกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง "..ครัวไทยที่จะไปครัวโลกแวะมาอยู่ในห้องแกรึไง ทำไมไอ้อาหารขยะสารพัดอย่างถึงได้มากองอยู่ในห้องแกเต็มไปหมดแบบนี้หา"

"ก็มันหิว.." นิรชาแก้ตัว..ทั้ง ๆ ที่ความจริงหล่อนก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ที่ซื้อของกินสารพัดอย่างมาตุนไว้ในห้องเนี่ย ก็เพราะขี้เกียจออกไปพบเจอโลกภายนอกบ่อย ๆ มากกว่า แถมเวลากินมันก็ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนลืมความทุกข์ได้ชั่วคราว ถึงมันจะเป็นวิธีการหนีปัญหาและความทุกข์ร้อนแบบไม่ถูกวิธีนักก็เถอะ

นารินโคลงหัวอย่างอ่อนใจในตัวเพื่อน ก่อนจะก้มลงเก็บซองนั่นนู่นนี่โน่นเดินไปใส่ถังผงที่อยู่มุมห้อง ใช้เท้าเขี่ย ๆ กวาด ๆ กองผ้าห่มออกให้พ้นทาง แล้วก็จัดแจงลากนิรชาไปส่งถึงประตูห้องน้ำ

"เอ้า..ชั้นให้เวลาแกสิบนาที ย้ำ..แค่สิบนาทีเท่านั้นนะยะ อาบน้ำแปรงฟันแต่งตัวให้เรียบร้อย ถ้าขืนยังโอ้เอ้อยู่ล่ะก็ ชั้นจะลากแกออกไปข้างนอกทั้งขี้ตาแบบนี้แหละ จริง ๆ สิเอ้า.."





อ่านต่อตอนที่ 2













.........................................ทดสอบ............................................

(เดี๋ยวมาเขีัยนต่อค่ะ แว่บออกไปทำงานก่อน 555+)